ทัวร์อินเดีย, เที่ยวอินเดีย, ทัวร์สังเวชนียสถาน, ทัวร์แดนพุทธภูมิ, ไหว้พระอินเดีย, tourindia, travelindia
ทัวร์อินเดีย, เที่ยวอินเดีย, ทัวร์สังเวชนียสถาน, ทัวร์แดนพุทธภูมิ, ไหว้พระอินเดีย, tourindia, travelindia
ทัวร์อินเดีย, เที่ยวอินเดีย, ทัวร์สังเวชนียสถาน, ทัวร์แดนพุทธภูมิ, ไหว้พระอินเดีย, tourindia, travelindia
ทัวร์อินเดีย, เที่ยวอินเดีย, ทัวร์สังเวชนียสถาน, ทัวร์แดนพุทธภูมิ, ไหว้พระอินเดีย, tourindia, travelindia
เมนูหลัก
ประวัติความเป็นมา
ติดต่อสอบถาม
หนังสือ
เอกสารยื่น ศ.ต.ภ.
พระพุทธรูป, ศิลปะคันธาระ, ศิลปะคุปตะ, ศิลปะปาละ, ทัวร์อินเดีย, เที่ยวอินเดีย, ทัวร์สังเวชนียสถาน, ทัวร์แดนพุทธภูมิ, ไหว้พระอินเดีย, tourindia, travelindia
พระพุทธรูป
ศิลปะคันธาระ
ศิลปะคุปตะ
ศิลปะปาละ
ข้อมูลอินเดียแดนพุทธภูมิ
ข้อมูลแดนพุทธภูมิ
แผนที่แดนพุทธภูมิ
พุทธคยา
ราชคฤห์-นาลันทา
ปัตนะ
ไวสาลี
เกสริยา
กุสินารา
กบิลพัสดุ์
กบิลพัสดุ์ ฝั่งอินเดีย
นิโครธาราม
รามคามสถูป นครเทวทหะ
ลุมพินี
สาวัตถี
สังกัสสนคร
สารนาถ
โกสัมพี
แคว้นอวันตี
Flag Counter
ข้อมูลอินเดีย
ข้อมูลพุทธสถาน
สาญจี
ถ้ำอชันตา
ถ้ำเอลโลร่า
ถ้ำออรังกาบัด
ถ้ำกัณเหรี
อโยธยา
ข้อมูลอินเดีย
ข้อมูลอินเดีย
นิวเดลี
อัครา
ฟาเตห์ปูร์ สิครี
ราชสถาน
หริทวาร, ฤาษีเกษ
จัมมู - แคชเมียร์
เลห์-ลาดักห์
อัมริตสาร์
มะนาลี-ชิมลา
ดารัมชาลา
เมืองลัคเนา
โกลกาตา
สะสาราม
พาราณสี
นิลกาย
มุมไบ
ข้อมูลอินใต้
ข้อมูลอินเดียใต้
รัฐเตลังคานา
เมืองกาญจีปุรัม
ฮัมปิ
ข้อมูลศรีลังกา
ข้อมูลศรีลังกา
ไหว้พระศรีลังกา
ข้อมูลอินโดนีเซีย
ข้อมูลอินโดนีเซีย
บุโรพุทโธ บาหลี
ข้อมูลพม่า
ข้อมูลพม่า
ย่างกุ้ง/ ไจโท้/หงสา/ สิเรียม
มัณฑะเลย์/พุกาม/อินเล/
ข้อมูลสิงคโปร์
ข้อมูลสิงคโปร์
สิงคโปร์
ข้อมูลมาเลเซีย
ข้อมูลมาเลเซีย
มาเลเซีย
ข้อมูลกัมพูชา
ข้อมูลกัมพูชา
เสียมเรียบ/นครวัด/นครธม
ข้อมูลลาว
ข้อมูลลาว
เวียงจันทร์/วังเวียง
หลวงพระบาง
ลาวใต้
ข้อมูลลาว
ข้อมูเวียดนาม
ฮานอย/ซาปา
ดานัง
โฮจิมินห์
ข้อมูลอินเดีย
โปรแกรมทัวร์ เดินทางคนเดี่ยว
สี่สังเวชฯ+อัครา+ราชสถาน+เดลี(21วัน)
สี่สังเวชฯ+สาญจี+อชันตา+เอโลร่า+มุมไบ (14วัน)
สี่สังเวชฯ+อัครา,ทัชมาฮาล+จัยปูร์+เดลี(11วัน)
ข้อมูลลาว
ข้อมูลทวีปยุโรป
กรุงเทพ-ลอนดอน
อิตาลี
อังกฤษ
โกสัมพี แคว้นวังสะ

โกสัมพี แคว้นวังสะ
เมืองโกสัมพี แคว้นวังสะ ในสมัยครั้งพุทธกาลมีพระเจ้าอุเทน ปกครอง พระราชโอรสของพระเจ้าปรันตปะ นครโกสัมพีเป็น เมืองหลวงแคว้นวังสะ ๑ ใน ๔ แคว้น มหาอำนาจที่เจริญทางการพาณิชย์ มีเส้นทางที่ติดต่อเมืองต่างๆ เช่น อุชเชนี เวทิสา สาเกต สาวัตถี กุสินารา ปาวา กบิลพัสดุ์ เวสาลี ราชคฤห์ เป็นต้น
ทรงแสดงธรรมเทศนาหลายพระสูตร เช่น โกสัมพิยสูตร สันทกสูตร ชาลิยสูตร เป็นต้น
พระพุทธองค์เสด็จมาหลายครั้ง และมาประทับในพรรษาที่ ๙ สมัยพุทธกาลมีวัดอยู่ ๔ วัด คือ โฆสิตาราม กุกกุฏาราม ปาวาริการาม หรือ ปาวาริกัมพวัน และพัทริการาม
พรรษาที่ ๑๐ สงฆ์วัดโฆสิตาราม ทะเลาะกันพระพุทธองค์จึงไปจำ พรรษาที่รักขิตวันแห่งป่าปาริไลยะ ออกพรรษาแล้วเสด็จยัง วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี หลังพุทธกาล วัดทั้ง ๔ แห่งยังเจริญรุ่งเรืองและมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาจำนวนมาก
พ.ศ. ๒๒๘ - ๒๓๔ พระเจ้าอโศกได้เสด็จจาริกธรรมปักเสาอโศกไว้เป็นอนุสรณ์สร้างสถูปสูง ๒๐๐ ฟุต
พ.ศ. ๙๐๐ หลวงจีนฟานเหียนได้เดินทางมาบันทึก เมืองวัด ยังมีผู้คนมีคนอยู่อาศัย “ ทำการค้าขาย ”
พ.ศ. ๑๓๐๐ หลวงจีนถังซัมจั๋ง มีการบันทึกไว้ในจดหมายเหตุว่า “มหานครแห่งนี้” กว้างยาวรวม ประมาณ ๖๐๐๐ ลี้ (ตาราง ) เมืองหลวง กว้างยาวรวม ๓๐ ตารางลี้ (๑ ลี้ = ๑๐ เส้น ) มีการเกษตรเพาะปลูกอย่างอุดมสมบูรณ์ ผู้คนขยันหมั่นเพียรศึกษา มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มุ่งหน้าทำความดีมีวัดอยู่ประมาณ ๑๐ แห่ง พระเถรวาท ๓๐๐ รูป เทวาลัย ๕๐ แห่ง
พ.ศ. ๑๕๖๘ กองทัพอิสลามจากอัฟกานิสถาน เข้ามาทำลาย เมืองโกสัมพีและวัดวาอารามอย่างย่อยยับอัปปาง
พ.ศ. ๒๓๗๔ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม ได้เริ่มขุดค้นพบซากเมืองโบราณและวัดวาอารามทั้งหลาย
ปัจจุบันโกสัมพี เหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง กองอิฐหินจากการพังทลายของปราสาทราชมณเฑียร เหมือนเมืองร้างทั้งหลาย มีหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อว่า โกสัมพี อยู่ริมน้ำยมุนา มีซากกำแพงเมือง มีซาก วัดวาอาราม แม้แต่เขตพระราชฐานชาวบ้านยังยึดทำการเกษตร

เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช
พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมาโปรดให้สร้างเสาหิน อยู่ในบริเวณวัดโฆสิตาราม บนยอดได้หักลงมา จนไม่สามารถรู้ว่าเป็นรูปลักษณะใด ปัจจุบันได้นำมาฝังไว้ในบริเวณเดิม

โฆสิตาราม
โฆสิตาราม เป็นวัดที่ท่านโฆสิตะเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาจำนวนหลายครั้ง ณ วัดแห่งนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชปักหลักเสาหิน เพื่อให้แสดงว่าบริเวณตรงนี้มีความสำคัญ เพื่อให้อนุชนรุนหลังย้อนระลึกเหตุการณ์ในอดีต กุกกุฏาราม
กุกกุฏาราม อยู่ไม่ห่างไกลจากวัดโฆสิตาราม กุกกุฏาราม เป็นอารามที่ท่านกุกกุฏ สร้างถวายพระพุทธองค์ ในพรรษาที่ ๙ และได้รับการบูรณะบ่อยครั้งมาก ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพัง

กำแพงเมือง
กำแพงเมืองโกสัมพีสร้างโดยกษัตริย์หลายพระองค์ ก่อนสมัยพระเจ้าอุเทน และในสมัยของพระองค์ได้ทำการเสริมเพิ่มเติม เพื่อความแข็งแกร่ง ปัจจุบันยังปรากฏเด่นชัด แม้จะถูกกาลเวลาทำลายไปก็ตาม

กลุ่มพระชาวแคว้นวังสะ
มี ๒ รูป พระพากุละ และพระปิณโฑลภารทวาชะ

ประวัติพระพากุลเถระ
พระพากุละ เกิดในวรรณะแพศย์ ตระกูลคหบดี ในเมืองโกสัมพี ที่ได้ชื่อว่า “พากุละ” เพราะ ๒ ตระกูลช่วยกันเลี้ยงดู (พา = สอง, กุละ = ตระกูล)
เมื่อท่านคลอดออกจากครรภ์ของมารดาได้ ๕ วัน บิดามารดา รวมทั้งวงศาคณาญาต นำเด็กที่เกิดใหม่ไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา แล้วจะทำให้เป็นคนไม่มีโรคเบียดเบียนและมีอายุยืนยาว พี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายจึงได้นำท่านไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ขณะที่พี่เลี้ยงกำลังอาบน้ำให้ท่านอยู่นั้น มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งแหวกว่ายมาตามกระแสน้ำ
เมื่อมันเห็นท่านแล้วคิดว่าเป็นก้อนเนื้อ จึงฮุบท่านไปเป็นอาหารแล้วกลืนลงท้อง อาจเป็นเพราะท่านมีบุญญานุภาพมาก แม้จะถูกอยู่ในท้องของปลาก็มิได้รับความทุกข์ร้อนแต่ประการใด เป็นเสมือนว่านอนอยู่ในสถานที่อันสุขสบาย ส่วนปลานั้นก็ไม่สามารถจะย่อยอาหารชิ้นนั้นได้ จึงมีอาการเร่าร้อนทุรนทุราย กระเสือกกระสนแหวกว่ายไปตามกระแสน้ำ จนถูกชาวประมงจับได้และขาดใจตายในเวลาต่อมา
ชาวประมงจึงพร้อมใจกันนำออกเร่ขาย ภริยาเศรษฐีเมือง พาราณสีผ่านมาพบ จึงได้ซื้อปลานั้นไว้ จัดการชำแหละท้องปลาแล้วสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนก็คือ เด็กทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ ภริยาเศรษฐีดีใจสุดประมาณ
ข่าวการที่เศรษฐีในเมืองพาราณสีได้เด็กจากท้องปลา แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็วฝ่ายมารดาบิดาที่แท้จริงของเด็กนั้นอยู่ที่เมืองโกสัมพี ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว จึงรีบเดินทางมาพบเศรษฐีเมืองพาราณสีทันที ได้สอบถามเรื่องราวโดยตลอดแล้ว จึงกล่าวว่า “นั่นคือบุตรของเรา” พร้อมกับชี้แจงแสดงหลักฐานเล่าเรื่องราวความเป็นมาโดยละเอียด แล้วเจรจาขอเด็กนั้นคืน ฝ่ายเศรษฐีเมืองพาราณสี แม้จะทราบความจริงนั้นแล้วก็ไม่ยอมให้คืน เพราะถือว่าตนก็ได้มาด้วยความชอบธรรม อีกทั้งมีความรักความผูกพันในตัวเด็ก ซึ่งเปรียบเสมือนลูกที่แท้จริงของตน ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้
จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าพาราณสีเพื่อให้ทรงช่วยตัดสินคดีทรงพิจารณาวินิจฉัยให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ด้วยการตัดสินให้ทั้งสองตระกูลมีสิทธิ์ในตัวเด็กทารกนั้นเท่าเทียมกัน ให้ทั้งสองฝ่ายผลัดกันเลี้ยงดู เพราะท่านเจริญเติบโตในตระกูลเศรษฐีทั้งสองตระกูลละครึ่งปี ท่านมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขตามวิถีชีวิตฆราวาส ด้วยความอุปถัมภ์บำรุงของตระกูลทั้งสองนั้น จวบจนอายุถึง ๘๐ ปี
พากุละพร้อมด้วยบริวาร ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและรับฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงกราบทูลของบรรพชาอุปสมบท ท่านอุตสาห์ ทำความเพียรอยู่ ๗ วัน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
และท่านเป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัดในธุดงค์ ข้อ “เนสัชชิกธุดงค์” คือ การสมาทานธุดงค์ด้วยการอยู่ในอิริยาบท ๓ คือ ยืน เดิน และนั่งเท่านั้น ไม่นอน และข้อ “อรัญญิกธุดงค์” คือ การสมาทานธุดงค์ด้วยการอยู่ป่าเป็นวัตร ดังจะเป็นได้ว่า ตั้งแต่ท่านบวชมานั้น ท่านไม่เคยจำพรรษาในบ้านเลย นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ที่ไม่มีโรคเบียดเบียน ไม่เคยฉันแม้แต่ผลสมออันเป็นยาสมุนไพรแม้แต่เพียงผลเดียว
เพราะว่าท่านไม่มีโรคใด ๆ เลยนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะด้วยอานิสงส์แห่งการสร้างวัจจกุฎี (ส้วม) แลการถวายยาเป็นทานแก่ พระสงฆ์ เหตุการณ์ที่แสดงว่าท่านเป็นผู้อายุยืนยาวนั้น ได้มีเรื่องกล่าวไว้ในกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตรแห่งคัมภีร์มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ว่า.....
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพากุลเถระ พักอาศัยยู่ที่เวฬุวันมหาวิหารเมืองราชคฤห์ ขณะนั้น มีอเจลกะท่านหนึ่ง ชื่อว่า กัสสปะ (อเจลกะ คือ นักบวชประเภทหนึ่งที่ไม่สวมเสื้อผ้า ซึ่งเรียกว่าชีเปลือย) ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของท่าน เมื่อสมัยที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ได้มาเยี่ยมเยือนและได้สนทนาไต่ถามพระเถระว่า
“ท่านพากุละ ท่านบวชมาได้กี่ปีแล้ว”
“กัสสปะ อาตมาบวชมาได้ ๘๐ ปีแล้ว”
“ท่านพากุละ ตลอดระยะเวลา ๘๐ ปี ที่ท่านบวชมานั้น ท่านมีความเกี่ยวข้องกับโลกิยธรรมกี่ครั้ง”
“ท่านกัสสปะ อันที่จริงท่านควรถามอาตมาว่า ตลอดระยะเวลา ๘๐ ปีนั้น กามสัญญาคือ ความใฝ่ใจในทางกามารมณ์เกิดขึ้นแก่ท่านกี่หนแล้ว กัสสปะ ตั้งแต่อาตมาบวชมาได้ ๘๐ ปีแล้วนี้ อาตมามีความรู้สึกว่า กามสัญญาที่ว่านั้นไม่เกิดขึ้นแก่อาตมาเลย”
อเจลกกัสสปะ ได้ฟังคำของพระเถระแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ น่าอัศจรรย์ จริง ๆ” และได้สนทนาไต่ถามในข้อธรรมต่าง ๆ จากพระเถระ จนหมดสิ้นข้อสงสัยแล้ว ในที่สุดก็เกิดศรัทธา ขอบวชในพระพุทธศาสนา และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งด้วยความที่ท่าน เป็นผู้ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนเป็นเหตุให้ท่านมีอายุยืนยาวดังกล่าวมานี้
พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้ไม่มีโรคาพาธท่านพระพากุลเถคะ ดำรงอายุสังขารสมควรแก่กาลแล้ว ในวันที่ท่านจะนิพพานนั้น ท่านนั่งอยู่ในท่ามกลางประชุมสงฆ์ ได้อธิษฐานว่า “ขออย่าให้สรีระของข้าพเจ้าเป็นภาระแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย” ดังนี้แล้วท่านก็เข้าเตโชกสิณ ปรินิพพานในท่ามกลางหมู่สงฆ์นั้น พลันเปลวเพลิงก็เกิดขึ้นเผาสรีระของท่านจนเหลือแต่อัฐิธาตุ ซึ่งมีสีและสัณฐานดังดอกมะลิตูม


พระปินโฑลภารทวาชเถระ (เอตทัคคะในทางผู้บันลือสีหนาท)
พระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล ตระกูลภารทวาชะ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน เดิมชื่อว่า “ภารทวาชมาณพ” ศึกษาจบไตรเพท ภารทวาชมาณพ ได้ตั้งสำนักเป็นอาจารย์ใหญ่สอนไตรเพท มีศิษย์เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ประมาณในการบริโภค จึงถูกศิษย์พากันทอดทิ้ง มีความเป็นอยู่ลำบาก ต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เมืองราชคฤห์ ตั้งสำนักสั่งสอนไตรเพทอีก
ปิณโฑลภารทวาชะ คิดที่จะอาศัยพระพุทธศาสนาเลี้ยงชีวิต อีกทั้งได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย แล้วอุตสาห์บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานไม่ช้าก็บรรลุพระอรหัตผลผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๓ คือ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ และยังเป็นผู้ที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้เทียบเท่าพระมหาโมคคัลลานเถระ
โดยปกติ ท่านปิณโฑลภารทวาชเถระ มักจะบันลือสีหนาทด้วยวาจาอันองอาจว่า “ยสฺส มคฺเค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ โส มํ ปุจฺฉตุ แปลว่า ผู้ใด มีความสงสัยในมรรคหรือในผล ผู้นั้น ก็จงถามเราเถิด” แม้แต่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระบรมศาสดา ท่านก็บันลือสีหนาทเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายพากันกล่าวขวัญถึงท่านว่าเป็นผู้มีความองอาจประกาศความเป็นพระอรหันต์ของตนในที่เฉพาะพระพักตร์ พระบรมศาสดาและยังได้กระทำอิทธิปาฏิหาริยิ์ เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์แดง จนทำให้เศรษฐีพร้อมด้วยบุตรและภรรยาพากันประกาศตนเป็นพุทธมามกะ คือ ประกาศตนเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นพากันกล่าวสรรเสริญเกียรติคุณของพระปิณโฑลภารทวาชเถระ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงถือเอาคุณความดีของพระเถระนี้ตรัสสรรเสริญว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านภารทวาชะได้ประกาศความเป็นพระอรหันต์ ของตนเช่นนั้นก็พราะท่านอบรมอินทรีย์ ๓ ประการ คือ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ ไว้มาก ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงประกาศยกย่อง พระปิณโฑลภารทวาชะ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในฝ่าย ผู้บันลือสีหนาท
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชเถระ ดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

โฆสกเศรษฐี โฆสกเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ มหาเศรษฐีผู้นี้มีชีวิตพลิกผันมาหลายชาติ
โกตุหลิกทิ้งลูก
โกตุหลิกอยู่ในแคว้นอัลลกัปปะ มีภรรยาชื่อ กาลี เมื่อภรรยาคลอดลูกก็พอดีที่แคว้นอัลลกัปปะเกิดทุพภิกขภัย ข้าวปลาอาหารหายาก จึงเดินทางอพยพไปสู่กรุงโกสัมพี ผลัดกันอุ้มลูกน้อย คราวหนึ่ง โกตุหลิกอุ้มลูกเดินตามหลังปล่อยให้นางกาลีเดินล่วงหน้าไปไกล เมื่อได้โอกาสจึงแอบวางลูกทิ้งไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง นางกาลีหันกลับมาไม่เห็นลูกก็ร้องไห้คร่ำครวญ ให้โกตุหลิกเดินย้อนกลับไปรับลูก โกตุหลิกจำใจย้อนไปรับลูกเดินทางกันต่อไป ในที่สุดทารกน้อยก็ตายในระหว่างทาง

เกิดเป็นสุนัข
โกตุหลิกกับภรรยาเดินทางต่อไปจนถึงเรือนนายโคบาลคนหนึ่ง ทั้งสองแวะเข้าไปขออาหาร นายโคบาลจึงแบ่งข้าวปายาสให้สองสามีภรรยากิน โกตุหลิกจึงกินข้าวปายาสจำนวนมากให้สมกับที่อดอยากมาถึง ๗-๘ วัน กินไปก็มองดูนางสุนัขของนายโคบาลไป คิดว่าสุนัขตัวนี้มีบุญ ได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันจนอ้วนพี บริโภคมากเกินไป ข้าวปายาสจึงไม่ย่อย คืนนั้นโกตุหลิกจึงทำกาละ และด้วยอกุศลจิตก่อนตายที่อิจฉาความเป็นอยู่ของสุนัข โกตุหลิกจึงไปเกิดในท้องนางสุนัขตัวนั้น ส่วนนางกาลีเมื่อสามีตายหมดที่พึ่งแล้ว จึงอยู่ทำงานในเรือนของนายโคบาล

จากสุนัขเป็นโฆสกเทพบุตร
โกตุหลิกเกิดเป็นสุนัข วันหนึ่ง นายโคบาลทูลพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าหากวันใดไม่สามารถมานิมนต์พระปัจเจก พุทธเจ้าได้ด้วยตนเองก็จะส่งสุนัขตัวนี้มา กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอก
นายโคบาลว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น สุนัขนั้นอาลัยรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ยืนเห่าส่ง พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับไปจากสายตา สุนัขนั้นก็ดวงใจแตกดับ ไปเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก มีนางอัปสรแวดล้อม ๑,๐๐๐ นาง เป็นเทพบุตรผู้มีเสียงดังมากเพราะอานิสงส์การเห่าไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจก พุทธเจ้า นามว่า โฆสกเทพบุตร

เกิดใหม่ในโกสัมพี
โฆสก เทพบุตรเสวยสมบัติอยู่ในเทวโลกไม่นาน มัวแต่เพลินบริโภคกามคุณจนลืมเสพอาหารทิพย์ จึงจุติไปเกิดเป็นบุตรหญิงงามเมืองในกรุงโกสัมพี แต่จะเลี้ยงไว้เฉพาะบุตรสาวเพื่อสืบทอดอาชีพ เมื่อคลอดบุตรเป็นชายนางจึงนำทารกน้อยใส่กระด้งไปทิ้งในกองหยากเยื่อ ด้วยอานิสงส์เคยดูแลไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก่อน ทารกน้อยในกองหยากเยื่อจึงรอดพ้นอันตรายจากสัตว์ร้ายจนมีหญิงคนหนึ่งมาพบ เข้าและนำทารกกลับไปเรือน วันนั้น เศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีคนหนึ่งเข้าไปในราชสำนัก ได้ยินปุโรหิตบอกว่าเด็กที่เกิดวันนี้เป็นผู้มีบุญมาก อนาคตจะได้เป็นมหาเศรษฐีของเมือง เศรษฐีจึงให้หญิงคนใช้อีกคนชื่อ กาลี ไปตามหาทารกชายที่เกิดวันนี้ให้พบ พบแล้วให้ใช้ทรัพย์พันหนึ่งแลกทารกนั้นกลับมา เศรษฐี เลี้ยงดูทารกนั้นไว้ คิดว่าถ้าลูกของตนเป็นลูกสาว ก็จะให้แต่งงานกับเด็กคนนี้ที่จะได้เป็นมหาเศรษฐี แต่ถ้าเป็นชาย เศรษฐีก็จะฆ่าเด็กนี้ทิ้งเสียเพื่อให้ลูกชายตนเองครองตำแหน่งมหาเศรษฐีแทน

ถูกทิ้งถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
ต่อมาภรรยาเศรษฐีคลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงคิดจะฆ่าทารกที่เลี้ยงไว้ เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางกลางประตูคอกโค หวังจะให้แม่โคเหยียบให้ตายตอนนายโคบาลปล่อยโคออกจากคอก แต่โคนายฝูงออกมายืนคร่อมทารกไว้ไม่ให้ทารกถูกแม่โคตัวอื่นเหยียบ เศรษฐีสั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางทางขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่มที่พ่อค้าขับไปค้าขายแต่เช้ามืด แต่โคนำขบวนกลับหยุดขวางทางไว้ไม่ยอมลากเกวียนไปต่อ เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ หวังจะให้ทารกถูกสุนัขป่าหรืออมนุษย์ฆ่าให้ตาย ครั้งนั้นนายอชบาลต้อนฝูงแพะหลายแสนตัวผ่านมา แม่แพะตัวหนึ่งหยุดให้นมทารก เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่เหวทิ้งโจร แต่ทารกก็ปลอดภัยเพราะตกลงบนพุ่มไม้ไผ่ หัวหน้าช่างจักสานมาตัดไม้ไผ่พบเข้าจึงพากลับไปเลี้ยง ทุกครั้งที่แผนการผิดพลาดแล้ว เศรษฐีจึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง เศรษฐีพยายามฆ่าเด็กหลายครั้งแต่ไม่ตาย จึงจำต้องเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ มีชื่อว่า โฆสกะ

ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
วันหนึ่งเศรษฐีแอบไปว่าจ้างช่างหม้อคนหนึ่งบอกว่าจะส่งบุตรชาติชั่วมาให้ฆ่า ให้ช่างหม้อจัดการหั่นให้เป็นท่อน แล้วใส่เตาเผาให้หมดอย่าให้เหลือซาก วันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งให้โฆสกะไปเรือนช่างหม้อ บอกช่างหม้อว่าให้เร่งทำงานที่เศรษฐีสั่งไว้ให้เสร็จเร็วๆ โฆสกะก็ไปเพราะไม่รู้ ระหว่างทางพบลูกชายเศรษฐีกำลังเล่นพนันอยู่กับเพื่อนๆ แต่ลูกชายเศรษฐีแพ้พนันไปแล้วหลายครั้งจึงขอร้องให้โฆสกะช่วยเล่นแทน ส่วนตัวเขาอาสาไปหาช่างหม้อแทน บุตรชายของตนถูกฆ่าและเผาแล้วไม่มีเหลือ

โฆสกะแต่งงาน
เศรษฐี แค้นโฆสกะมากยิ่งขึ้นครุ่นคิดหาวิธีจะฆ่าโฆสกะให้ได้ จึงออกอุบายให้โฆสกะไปส่งจดหมายให้คนเก็บส่วยในชนบท โฆสกะบอกว่าตนยังไม่ได้กินข้าวเลย เศรษฐีบอกว่าระหว่างทางในชนบทมีเรือนของคามิกเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกัน ให้โฆสกะแวะกินข้าวที่เรือนนั้น โฆสกะไม่รู้หนังสือจึงเอาจดหมายผูกชายผ้าเดินทางไป นางทาสีคนนั้นเป็นทาสีของ ธิดาเศรษฐี เมื่อนางจัดเตรียมที่นอนให้โฆสกะเรียบร้อยแล้วจึงไปรับใช้ธิดาเศรษฐีตามปกติ ธิดาเศรษฐีถามว่าทำไมวันนี้นางทาสีจึงมาช้านัก นางทาสีบอกว่านายหญิงให้ไปจัดที่นอนให้แขกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปหล่อชื่อ โฆสกะ
พอธิดาเศรษฐีได้ยินชื่อ โฆสกะ นางก็บังเกิดความรักเพราะเหตุเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ธิดาเศรษฐีแอบไปดูโฆสกะที่นอนหลับอยู่ และหยิบหนังสือที่ชายผ้าเปิดอ่าน ในหนังสือนั้นบอกให้นายส่วยฆ่าโฆสกะทันทีที่ไปถึง ธิดาคามิกเศรษฐีพอรู้ว่าโฆสกะถูกหลอกไปฆ่าจึงคิดวิธีช่วยเหลือ จัดการแปลงสารด้วยข้อความใหม่ เมื่อแปลงสารเสร็จแล้ว ธิดาเศรษฐีก็พับจดหมายคืนที่เดิม
วันรุ่งขึ้น โฆสกะเดินทางต่อจนถึงเรือนของนายส่วย เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว นายส่วยจึงจัดงานอาวาหมงคลให้โฆสกะกับธิดาคามิกเศรษฐี แล้วส่งข่าวให้เศรษฐีโกสัมพีทราบว่างานที่สั่งให้ทำสำเร็จแล้ว

เศรษฐีล้มป่วยเพราะความแค้น
เศรษฐี อ่านจดหมายนายส่วยจบก็เสียใจและแค้นใจ เศรษฐีจึงล้มป่วยลง เศรษฐี ตั้งใจว่าจะไม่ยอมยกสมบัติของตัวเองให้โฆสกะอย่างเด็ดขาด จึงส่งคนรับใช้ให้ไปตามโฆสกะมาหา แต่ภรรยาโฆสกะคอยดักไว้ไม่ให้พบ
จน ถึงคนรับใช้คนที่สามมาบอกว่าเศรษฐีอาการเพียบหนักใกล้ตายแล้ว ภรรยาโฆสกะจึงบอกให้สามีเตรียมบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ใส่เกวียนไปเยี่ยมเศรษฐี เมื่อไปถึงเรือนเศรษฐี ภรรยาบอกให้โฆสกะไปยืนทางปลายเท้า ส่วนนางยืนทางด้านศีรษะ เศรษฐีเห็นโฆสกะมาแล้วจึงเรียกเสมียนมา เศรษฐีจะประกาศว่า “ฉันไม่ให้ทรัพย์แก่โฆสกะ”
แต่ด้วยอาการไข้หนักเศรษฐีกลับพูดผิดว่า “ฉันให้..”
ภรรยา โฆสกะที่รอท่าอยู่พอได้ยินเศรษฐีพูดเพียงเท่านี้ นางเกรงว่าเศรษฐีจะพูดคำอื่นอีกจึงแสร้งทำเป็นเศร้าโศก โถมศีรษะลงกลิ้งเกลือกบนอกเศรษฐี แสดงอาการร้องไห้คร่ำครวญจนเศรษฐีไม่อาจพูดได้อีก แล้วเศรษฐีก็ขาดใจตาย

เป็นโฆสกะเศรษฐี
เมื่อพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพีทรงทราบว่าเศรษฐีถึงแก่อนิจกรรมแล้ว จึงรับสั่งให้โฆสกะไปเข้าเฝ้า พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้สืบต่อจากบิดา โฆสกเศรษฐีเข้าเรือนมา เห็นภรรยาหัวเราะจึงถามว่าหัวเราะอะไร ภรรยาไม่ยอมบอก สมบัติทั้งหลายนี้ท่านได้มาเพราะดิฉัน แล้วภรรยาก็เล่าเรื่อง ราวให้สามีฟัง โฆสกเศรษฐีไม่เชื่อ ภรรยาจึงให้นางกาลีมายืนยันอีกคน ฟังแล้วโฆสกเศรษฐีจึงคิดว่า เราทำกรรมหนักไว้หนอจึงได้ผลเช่นนี้ ต่อไปเราจะไม่เป็นผู้ประมาทอีก คิดดังนั้นแล้ว เศรษฐีจึงให้ตั้งโรงทาน สละทรัพย์วันละพันเพื่อสงเคราะห์คนเดินทางไกลและคนกำพร้า มอบหมายให้ นายมิตตะ เป็นผู้ดูแลโรงทาน อีกทั้งยังถวายภัตแด่พระดาบส ๕๐๐ รูป ในป่าหิมพานต์ใกล้กรุงโกสัมพีเป็นประจำ

สามาวดี
นางสามาวดี เป็นธิดาของเศรษฐีนามว่าภัททวดีย์ แห่งเมืองภัททวดีย์ เดิมชื่อว่า “สามา” และบิดาของนางเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันกับโฆสกเศรษฐี แห่งเมืองโกสัมพี เศรษฐีตกยาก
ครั้นต่อมา เกิดโรคอหิวาต์ระบาดในเมืองภัททวดีย์ เศรษฐีภัททวดีย์ ต้องพาภรรยาและลูกสาวอพยพหนีโรคร้ายไปยังเมืองโกสัมพี เพื่อขอพักอาศัยกับโฆสกเศรษฐีผู้เป็นสหาย เศรษฐีกับภรรยาบริโภคอาหารเกินพอดี ไฟธาตุไม่สามารถจะย่อยได้จึงถึงแก่ความตายทั้งสองคน เหลือแต่นางสามา เป็นกำพร้าพ่อแม่อยู่แต่ผู้เดียว

ได้นามว่าสามาวดี
เมื่อนางสามาเข้ามาอยู่ในบ้านของท่านเศรษฐีแล้ว เห็นความไม่เรียบร้อยดังกล่าว จึงคิดหาทางแก้ไข นางจึงให้คนทำรั้วมีประตูทางเข้าและประตูทางออกให้ทุกคนเรียงแถวตามลำดับเข้ารับแจกทาน ทุกอย่างก็เรียบร้อยไม่มีเสียงเซ็งแซ่เหมือนแต่ก่อนโฆสกเศรษฐีพอใจเป็นอย่างยิ่งกล่าวยกย่องชมเชยในความฉลาดของนาง หลังจากนั้น นางจึงได้ชื่อว่า “สามาวดี” (วดี = รั้ว) และต่อจากนั้นไม่นาน นางก็ได้รับการอภิเษกเป็นอัครมเหสี ของพระเจ้าอุเทน แห่งเมืองโกสัมพีนั้น

นางสามาวดีบรรลุโสดาปัตติผล
ในบรรดาหญิงบริวารของนางสามาวดี ๕๐๐ คนนั้น หญิงคนหนึ่งชื่อนางขุชชุตตรา รับหน้าที่จัดซื้อดอกไม้มาให้นางสามาวดีทุกวัน ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่นางไปซื้อดอกไม้ตามปกตินั้น ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาในบ้านของนายสุมนมาลาการผู้ขายดอกไม้ จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อนำดอกไปให้นางสามาวดีแล้ว ได้แสดงธรรมที่ตนฟังมานั้นแก่นางสามาวดี พร้อมทั้งหญิงบริวาร จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยกันทั้งหมด ครั้นกาลต่อมา พระเจ้าอุเทนได้พระนางวาสุลทัตตา พระราชธิดาของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนี มาอภิเษกเป็นมเหสีองค์ที่สอง และได้นางมาคันทิยา สาวงามแห่งแคว้นกุรุ มาอภิเษกเป็นมเหสีองค์ที่สาม

พระนางวาสุลทัตตา
พระนางวาสุลทัตตา พระราชธิดาของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนี
วันหนึ่งพระเจ้าจัณฑปัชโชต ทรงเห็นว่าสมบัติของพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพีนั้นมีมากมาย จึงคิดจะจับพระเจ้าอุเทน อำมาตย์ได้กราบทูลว่า หากจะจับท้าวเธอให้ได้ ก็ต้องใช่เล่ห์กลเข้าช่วย เพราะท้าวเธอหลงใหลในเรื่องช้าง ทรงร่ายมนต์แล้วดีดพิณหัสดีกัณฑ์อยู่ จะให้ช้างหนีไปก็ได้ จะจับเอาก็ได้ พระองค์โปรดใช้ช่างสร้างช้างยนต์เป็นช้างเผือก แล้วให้คนซ่อนอยู่ภายในท้องช้างนั้นเพื่อบังคับช้างยนต์ จากนั้นก็นำกำลังซุ่มอยู่ข้างทาง เมื่อพระเจ้าอุเทนหลงเข้ามา ก็จะจับตัวได้เป็นแน่แท้ พระเจ้าจัณฑปัชโชต กระทำตามความคิดของเหล่าอำมาตย์ จึงจับพระเจ้าอุเทนได้พระเจ้าจัณฑปัชโชต รับสั่งให้นำพระเจ้าอุเทนมาควบคุมไว้ในพระราชวังด้วยประสงค์จะเรียนมนต์ ตรัสถามพระเจ้าอุเทน ว่า “ทราบว่าท่านมีมนต์ชื่อหัสดีกัณฑ์ สำหรับเรียกช้างท่านจักสอนมนต์บทนั้นให้แก่เราหรือไม่ “
พระเจ้าอุเทนตอบว่า “ได้หากพระองค์จะไหว้ข้าพเจ้าก่อน “
พระเจ้าจัณฑปัชโชตตอบว่า “เราไม่สามารถกระทำได้ “
พระเจ้าอุเทนจึงกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าก็มิอาจสอนมนต์นี้แก่ท่านได้”
พระเจ้าจัณฑปัชโชตดำริว่า เราอยากได้มนต์บทนี้แต่ก็มิอาจให้ผู้อื่นรู้มนต์บทนี้ได้ เราจักให้ธิดาของเราเรียนจากพระเจ้าอุเทน แล้วเราจึงจักรับมนต์บทนี้จากธิดาเรา
พระเจ้าจัณฑปัชโชตจึงตรัสกับพระเจ้าอุเทนว่า “ในพระราชวังมีหญิงค่อมคนหนึ่งซึ่งอยากเรียนมนต์บทนี้ แต่มิอาจให้ผู้อื่นเห็นร่างกายของนางได้
ท่านจงยืนอยู่ภายนอกม่านแล้วบอกมนต์แก่หญิงผู้นั่งอยู่หลังม่านนั้น”
พระเจ้าอุเทนตรัสตอบว่า “แม้นางจะเป็นคนพิการก็ตามหากนางไหว้ข้าพเจ้าได้ก็จะให้มนต์นี้ “
พระเจ้าจัณฑปัชโชตจึงเสด็จไปหาพระราชธิดา ตรัสบอกพระราชธิดาว่า “บัดนี้มีชายโรคเรื้อนผู้หนึ่งรู้มนต์หัสดีกัณฑ์อันหาค่ามิได้ แต่พ่อมิอาจให้ผู้อื่นรู้มนต์นั้น เจ้าจงไปนั่งหลังม่านไหว้แสดงความเคารพชายนั้นแล้วขอเรียนมนต์ชายนั้นจักบอกมนต์แก่เจ้า” พระราชธิดาทรงรับเป็นผู้ไปเรียนมนต์บทนี้ให้กับพระบิดา เนื่องจากพระเจ้าจัณฑปัชโชตเกรงคนทั้งสองจักทำสันถวะกันและกัน จึงบอกแก่พระเจ้าอุเทนว่าให้สอนมนต์นี้แก่หญิงต่อมซึ่งอยู่หลังม่าน และตรัสกับพระราชธิดาว่าให้เรียนมนต์จากชายผู้เป็นโรคเรื้อน
แต่วันแล้ววันเล่าพระราชธิดาก็มิอาจจำมนต์หัสดีกัณฑ์นั้นได้จนในวันหนึ่งพระเจ้าอุเทนกริ้วจัด ตรัสว่า “อีหญิงค่อมจงว่าไปอย่างนี้ “พระราชธิดาได้ยินก็กริ้วตรัสตอบไปว่า “อ้ายขี้เรื้อน” แล้วทรงยกมุมผ้าม่านที่กั้นบังไว้ขึ้นทันที พระเจ้าอุเทนจึงได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงงามแทนที่จะเป็นหญิงค่อมทรงถามว่า “นางเป็นใคร” พระราชธิดาก็ทอดพระเนตรเห็หนุ่มรูปงามแทนชายโรคเรื้อนและตรัสตอบว่า
“เราชื่อว่าวาสุลทัตตา เป็นธิดาของพระเจ้าแผ่นดินนี้” ต่อแต่นั้นมาก็มิได้มีการเรียนมนต์หัสดีกัณฑ์นี้อีก กาลต่อมาพระเจ้าอุเทนได้พานางวาสุลทัตตาหนีไปจากพระนครอุชเชนี กลับมายังกรุงโกสัมพีและอภิเษกแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีแห่งกรุงโกสัมพีอีกองค์หนึ่ง

นางมาคันทิยา
นางมาคันทิยาเป็นธิดาของเศรษฐีในแคว้นกุรุ เนื่องจากนางมีรูปงามดุจนางเทพอัปสร จึงมีเศรษฐี คฤหบดี ตลอดจนพระราชา จากเมืองต่าง ๆ ส่งสารมาสู่ขอมากมาย แต่บิดามารดาของนางก็ปฏิเสธ
พระบรมศาสดาทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของสองสามีภรรยา จึงเสด็จมายังแคว้นกุรุ ฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของนางออกไปธุระนอกบ้าน พบพระศาสดาในที่ไม่ไกลจากบ้านของตนนัก เห็นพระลักษณะถูกตาต้องใจและคิดว่า “บุรุษผู้นี้แหละคู่ควรกับลูกสาวของเรา” พราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลพระบรมศาสดาให้คอยอยู่ตรงนี้ก่อนตนจะกลับไปบอกนางพราหมณีภรรยาและนำลูกสาวมายกให้
ฝ่ายพระบรมศาสดามิได้ประทับอยู่ตรงที่เดิม แต่ได้อธิษฐานประทับรอยพระบาทไว้ แล้วเสด็จไปประทับในที่ไม่ไกลจากที่นั้น เนื่องจากนางพราหมณีผู้ภรรยามีความเชียวชาญเรื่องมนต์ทำนายลักษณะฝ่าเท้า จึงบอกแก่สามีว่า “รอยเท้านี้มิใช่รอยเท้าของคนเสพกามคุณ เพราะธรรมดารอยเท้าของคนที่มีราคะ จะมีรอยเท้ากระหย่งคือเว้าตรงกลาง คนที่มีโทสะ รอยเท้าจะหนักส้น คนที่มีโมหะ รอยเท้าจะหนักที่ส่วนปลาย
ฝ่ายพราหมณ์ผู้สามีพยายามมองหาจนพบพระบรมศาสดา “ท่านสมณะ ข้าพเจ้าจะยกธิดาให้เป็นคู่ชีวิตแก่ท่าน” ลูกสาวของท่านที่ร่างกายเต็มไปด้วยมูตรและกรีส (ปัสสาวะและอุจจาระ) ถ้าเท้าของเราเปื้อนฝุ่นธุลีมา และลูกสาวของท่านเป็นผ้าเช็ดเท้า เรายังไม่ปรารถนาจะถูกต้องลูกสาวของท่านแม้ด้วยเท้าเลย”
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสองสามีภรรยาจนได้บรรลุเป็นพระอนาคามี ขออุปสมบทไม่นานนักก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสอง ท่าน ฝ่ายนางมาคันทิยา ได้ยินพระดำรัสของพระศาสดาโดยตลอด รู้สึกโกรธที่พระพุทธองค์ จึงผูกอาฆาตของเวรต่อพระศาสดา เมื่อบิดามารดาออกบวชหมดแล้ว นางจึงได้ไปอยู่อาศัยกับน้องชายของบิดาผู้เป็นอา ต่อมาอาของนางคิดว่าหลานสาวผู้มีความงามเป็นเลิศอย่างนี้ ย่อมคู่ควรแก่พระราชาเท่านั้น จึงนำไปถวายเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน

จ้างนักเลงด่าพระพุทธองค์
พระนางมาคันทิยา ได้โอกาส จึงว่าจ้างทาส กรรรมกร และนักเลงพวกมิจฉาทิฏฐิ ผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ให้ติดตามด่าพระพุทธองค์ไปในทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งเมือง จึงกราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จไปยังเมืองอื่น พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า:-
“อานนท์ ถ้าคนที่เมืองนั้นด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร ?”
“ก็เสด็จไปที่เมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า”
“ถ้าคนที่เมืองนั้นด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร ?”
“ก็เสด็จไปที่เมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า”
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าทำอย่างนั้นเราก็จะหนีกันไม่สิ้นสุด ทางที่ถูกนั้นอธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ก็ควรให้อธิกรณ์สงบระงับในที่นั้นก่อนแล้วจึงไป” พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาอธิกรณ์เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้วย่อมไม่เกิน ๗ วัน ก็จะสงบระงับไปเอง”

นางสามาวดีถูกใส่ความเรื่องไก่
คิดอุบายใส่ความแก่พระนางสามาวดีและบริวารผู้มีศรัทธาในพระพุทธองค์ โดยส่งข่าวไปบอกแก่อาของตนขอให้ส่งไก่เป็น ที่ยังมีชีวิตมาให้ ๘ ตัว และไก่ตายอีก ๘ ตัว เมื่อได้ไก่มาตามต้องการแล้วจึงเข้ากราบทูลพระเจ้าอุเทน ส่วนพระนางสามาวดีเห็นว่าไก่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่ทำถวาย เพราะว่าตนสมาทานศีล ๘ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์จึงส่งไก่กลับคืนไปพระนางมาคันทิยา “ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้ส่งไก่ไปใหม่พร้อมทั้งบอกว่าให้แกงไปถวายแก่พระสมณโคดม” แต่พระนางมาคันทิยาได้เปลี่ยนเอาไก่ที่ตาย แล้วส่งไปให้ พระนางสามาวดีเห็นว่าเป็นไก่ที่ตายแล้ว และเป็นการแกงเพื่อนำไปถวายพระสมณโคดม เวลาใช้ให้แกงมาถวายพระองค์ก็ไม่ทำ แต่พอบอกให้แกงไปถวายพระสมณโคดมกลับทำให้อย่างรับด่วน พระเจ้าอุเทน ได้สดับคำของพระนางมาคันทิยา แล้วทรงอดกลั้นนิ่งเฉยไว้อยู่ จนกระทั่งพระนางมาคันทิยา ต้องคิดหาอุบายร้ายด้วยวิธีอื่นต่อไป

ถูกใส่ความเรื่องงู
จะถึงวาระเสด็จไปประทับที่ปราสาทของพระนางสามาวดี พระนางมาคันทิยา ได้วางแผนส่งข่าวไปถึงอา ให้ส่งงูพิษที่ถอนเขี้ยวพิษออกแล้วมาให้นางโดยด่วน เมื่อได้มาแล้วจึงใส่งูเข้าไปในช่องพิณซึ่งพระเจ้าอุเทนทรงเล่นและนำติดพระองค์เป็นประจำแล้วนำช่อดอกไม้ปิดช่องพิณไว้ก่อนที่พระเจ้าอุเทนจะเสด็จไปยังปราสาทของพระนางสามาวดีนั้น และงูที่อดอาหารมาหลายวันได้เลื้อยออกมาพ่นพิษ แผ่พังพาน พระราชาทอดพระเนตรเห็นงูก็ตกพระทัยพระนางสามาวดีที่คิดปลงพระชนม์ ความโกรธจึงตัดสินพระทัยประหารชีวิตพระนางสามาวดีและหญิงบริวาร

อานุภาพแห่งเมตตาธรรม
พระเจ้าอุเทนทรงโก่งคันธนูเล็งเป้าไปที่พระอุระของพระนางสามาวดี ก่อนที่ลูกศรจะแล่นนั้น พระนางสามาวดีได้ให้โอวาทแก่หญิงบริวารว่า “แม่หญิงสหายทั้งหลาย ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี เธอทั้งหลายจงเจริญเมตตาจิตให้สม่ำเสมอ ส่งไปให้แก่พระราชา แก่พระเทวีมาคันทิยา และแก่ตนเอง อย่าถือโทษโกรธต่อใคร ๆ เลย” ครั้นให้โอวาทจบลง หญิงเหล่านั้นก็ปฏิบัติตาม เมื่อพระราชาปล่อยลูกศรออกไป แทนที่ลูกศรจะพุ่งเข้าสู่พระอุระพระนางสามาวดี แต่หวนกลับพุ่งเข้าหาพระอุระของพระองค์เสียเอง จึงสะดุ้งตกพระทัยแล้วกราบที่พระบาทของพระนางสามาวดี อ้อนวอนให้พระนางยกโทษให้ และขอถึงพระนางเป็นที่พึ่งตลอดไป พระนางสามาวดีกราบทูลให้พระราชาทรงถึงพระบรมศาสดาเป็นสรณที่พึ่งเหมือนอย่างที่นางกระทำอยู่ ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าอุเทนทรงมีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ทรงรักษาศีลฟังธรรมร่วมกับพระนางสามาวดีตามกาลเวลาและโอกาสอันสมควร

พระนางสามาวดีถูกเผาทั้งเป็นพร้อมหญิงสหาย
พระนางมาคันทิยา มีความโกรธแค้นต่อพระบรมศาสดาส่วนนางสามาวดีนั้น ที่นางต้องโกรธแค้นด้วยก็เพราะสาเหตุหนึ่งเป็นพระมเหสีคู่แข่ง วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าอุเทนเสด็จประพาสราชอุทยาน พระนางมาคันทิยาสั่งคนรับใช้ให้เอาผ้าชุบน้ำมันแล้วนำไปพันที่เสาทุกต้น ในปราสาทของพระนางสามาวดี พูดเกลี้ยกล่อมให้พระนางและบริวารเข้าไปรวมอยู่ในห้องเดียวกันแล้วจึงลั่นกลอนข้างนอกแล้วจุดไฟเผาพร้อมทั้งปราสาทพระนางสามาวดี ขณะเมื่อไฟกำลังลุกลามเข้ามาใกล้ตัวอยู่นั้น มีสติมั่นคงไม่หวั่นไหว ให้โอวาทแก่หญิงบริวารทั้ง ๕๐๐ ให้เจริญเมตตาไปยังบุคคลทั่ว ๆ ไปแม้ในพระนางคันทิยา ให้ทุกคนมีสติ ไม่ประมาท ให้มีจิตตั้งมั่นในเวทนาปริคคหกัมมัฏฐานอย่างมั่นคง บางพวกบรรลุอนาคามิผล ก่อนที่จะถูกไฟเผาผลาญกระทำกาละถึงแก่กรรม ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกันทั้งหมด

บุพพกรรม ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมหัตครองราชย์สมบัติในกรุง พาราณสี ได้ถวายภัตตาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำ พุทธะองค์หนึ่งได้ปลีกตัวไปเข้าฌานสมาบัติในดงหญ้าริมแม่น้ำ ส่วนพระราชาได้พาหญิงเหล่านั้นไปเล่นน้ำกันทั้งวัน พวกผู้หญิงพออาบน้ำนาน ๆ ก็หนาว จึงพากันขึ้นมาก่อไฟที่กองหญ้าผิง พอไฟไหม้กองหญ้าหมดก็เห็นพระปัจเจกพุทธะถูกไฟไหม้ ต่างพากันตกใจ เพราะเป็นพระปัจเจกพุทธะของพระราชา ด้วยเกรงว่าจะถูกลงโทษจึงช่วยกันทำลายหลักฐานด้วยการช่วยกันหาฟืนมาสุมจนท่วมองค์พระปัจเจกพุทธะจนแน่ใจว่าหมดฟืนนี้ พระปัจเจกพุทธะก็คงจะถูกเผาไม่เหลือซาก ผลกรรมของพระนางสามาวดีกับหญิงสหายกรรมใหม่ให้ผลทันตา
ส่วนพระนางมาคันทิยาผู้เป็นต้นเหตุ พระองค์รับสั่งให้เฉือนเนื้อของพระนาง นำไปทอดน้ำมันเดือดแล้วนำมาให้พระนางกิน ทรงกระทำ อย่างนี้ จนกระทั่งพระนางสิ้นพระชนม์ไปบังเกิดในทุคติ
ส่วนพระนางสามาวดี ผู้มีปกติอยู่ประกอบด้วยเมตตา (เมตตาวิหาร) ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้อยู่ด้วยเมตตา

ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ณ โฆษิตาราม ใกล้กับเมืองโกสัมพี มีภิกษุสองกลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่แสดงธรรมเก่ง (ธรรมกถึก) กับกลุ่มที่เคร่งครัดในพระวินัย (วินัยธร) แต่ละกลุ่มก็มีอุปัชฌาของตนเอง แบ่งได้กลุ่มละประมาณ ๕๐๐ รูป
อยู่มาวันหนึ่งพระอุปัชฌาฝ่ายธรรมกถึก ไปทำภาระกิจในถาน (สุขาของพระ) เมื่อตักน้ำล้างที่ถานแล้ว ก็เหลือน้ำไว้ในภาชนะ การเหลือน้ำไว้ในภาชนะหลังจากที่ตักไปล้างถานแล้ว ทางพระวินัยถือว่าผิด (เป็นอาบัติ) เพราะจะทำให้เป็นที่ฟักไข่ของยุงหรือสัตว์อื่นๆได้ เป็นต้น เมื่อพระรูปอื่นไปใช้ถานภายหลัง ก็จะเป็นการทำลายชีวิตสัตว์
ฝ่ายลูกศิษย์ได้ฟังก็ไม่พอใจ นำความไปฟ้องกับพระอาจารย์ฝ่ายธรรมกถึก เมื่อได้ท่านฟังก็คงจะอารมณ์เสีย เลยพูดว่า พระอาจารย์ฝ่ายวินัยธร รูปนี้พูดมุสาเสียแล้ว ก็เคยพูดกับเราแล้วว่าไม่เป็นอาบัติ ครั้นเราจะของปลงอาบัติก็ห้ามว่าไม่ต้อง แล้วทำไมตอนนี้มาพูดเช่นนี้ ทำให้เราเสียหายมากนะ ตั้งแต่นั้นมา ก็เกิดการบาดหมาง ทะเลาะกันแบ่งกันเป็นสองกลุ่มไม่พูดจากปราศรัยกัน ไม่ช่วยเหลือกัน ทั้งที่ก็อยู่ในอารามเดียวกัน
พระพุทธเจ้าได้สดับดังนั้นทรงเห็นว่าไม่ดีแน่จึงได้เสด็จไปที่อยู่ของพระทั้งสองกลุ่ม แล้วเรียกมาสอน และให้ทำสังฆกรรมร่วมกัน ้ โดยยกตัวอย่างผลร้ายของการทะเลาะกันเช่น นกกระจาบหลายพันตัวทะเลาะกัน วิวาทกันยังสิ้นชีวิตทุกตัว
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นทีว่าจะสอนไม่ได้แล้ว ไม่ยอมเชื่อฟังทรงดำริว่าถ้าการอยู่ร่วมหมู่กับผู้ไม่ยอมให้อภัยกัน ทะเลาะกันอย่างนี้ ไปอยู่รูปเดียวดีกว่า จึงได้ออกจากอารามนั้นไป โดยไม่บอกกว่ากับภิกษุรูปใด หรือญาติโยมคนใดว่าจะไปที่ใด
พระองค์ได้เสด็จไปอีกอารามหนึ่ง ชื่อว่าพาลกโลณการาม และบ้านหนึ่งเรียกชื่อว่าบ้านปาริเลยยกะ โยมทั้งหมู่บ้านใกล้ไกลของอารามนั้น ไม่ใส่บาตร ไม่ดูแลให้ความช่วยเหลือพระทั้งสองกลุ่ม แต่พระภิกษุไม่สามารถไปขอขมาพระพุทธเจ้า ต้องรอให้ออกพรรษาเสียก่อน กว่าจะออกพรรษาได้พระภิกษุทั้งสองกลุ่มก็อยู่กันมาอย่างยากลำบาก
พระอานนท์ได้พาพระสงฆ์เหล่านั้นประมาณ ๕๐๐ รูปไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ช้างปาเลยยกะเห็นเข้าก็ใช้งวงจับไม้วิ่งตรงเข้ามา หวังจะทำร้ายพระอานนท์ พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นก็ ตรัสห้าม และบอกกับช้างว่าพระอานนท์นี้เป็นผู้อุปัฏฐากพระองค์
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับเรื่องการคบเพื่อนที่ดี อเสวนาคนดีก็จะทำให้ได้รับความดีมาใส่ตนเป็นต้นพระภิกษุเหล่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหันต์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลับตาไปแล้ว ช้างได้นำงวงใส่ไว้ในปากไม่ยอมกินอะไรจนตาย แล้วไปเกิดในสวรรค์ เมื่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุเหล่านั้น ถึงเมืองสาวัตถีแล้ว
พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระที่เคยทะเลากันเข้าเฝ้าได้แล้วก็ได้ทรงแสดงธรรมให้กับพระภิกษุเหล่านั้นว่าผู้ที่เชื่อคำพ่อแม่ครูบาอาจารย์จะเป็นผู้เจริญไม่ตกอับ ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อไม่ทำตามคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์จะมีแต่เรื่องร้าย ถือเป็นกรรมหนัก จะทำให้เกิดการแตกยก หาความสงบสุขไม่มี ขอขมาเสร็จ ชาวเมืองก็มาถวายอาหารอาหาร และดูและพระภิกษุในกลุ่มของธรรมกถึก และพระวินัยธร เหล่านั้นเหมือนเดิม


จุฬาตรีคูณ
ตรี แปลว่า สาม
คูณ แปลว่า รวม
โดยรวมคือ การรวมกันของแม่น้ำสายสำคัญ เป็นจุดสูงสุด
“สังคัม” (Sangam) แปลว่า หมู่, รวม ซึ่งเป็นการรวมของสายและสายศรัทธาแห่งพรตนักบวช เป็นสถานที่ที่แม่น้ำศักดิ์สิทธ์สำคัญ ๓ สายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา และแม่น้ำสรัสวดี เราสามารถมองเห็นแม่น้ำ ๒ สายแรกเท่านั้น ส่วนแม่น้ำสรัสวดีมองไม่เห็น ซึ่งชาวอินเดียกล่าวกันว่าไหลมาจากใต้ดินแล้วมาผุดขึ้นที่นี่ โดยมีถิ่นกำเนิดที่เมืองราชคฤห์ รัฐพิหารในปัจจุบัน และมาบรรจบกันตรงนี้

ภาพ : เทศกาลมหากุมภะ เมลา เมืองอัลลาฮาบาด


เทศกาลมหากุมภะ เมลา (Maha Kumbh Mela Festival) เทศกาลการอาบน้ำของชาวฮินดู หรือเรียกว่า “เทศกาลมหากุมภะ เมลา” ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของทุกปี ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินเบียดเสียดกันเพื่อไปอาบน้ำล้างบาป ถือว่าเป็นการรวมตัวของชาวฮินดูจำนวนมากและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือการได้อาบน้ำในเวลาและสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ สังคัม เทศกาลมหากุมภะ เมลา เป็นนิยายปรัมปราที่ฝังแน่นจนเกิดเป็นความเชื่อของชาวฮินดูมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ หากดูตามรูปศัพท์แล้ว “กุมภะ” แปลว่า หม้อ เหยือก หรือโกศ สำหรับบรรจุน้ำ ส่วน “เมลา” แปลว่า เทศกาล หรือนิทรรศกาล แปลรวม ๆ กันเอาเนื้อความก็คือ เทสกาลการอาบน้ำ (Bathing Festival)

เทศกาลการอาบน้ำนี้มีช่วงหรือระยะเวลาแตกต่างกันออก ไปคือ
๑. ทุกๆ ๑ ปี เรียกว่า มาฆ์ เมลา (Magh Mela)
๒. ทุกๆ ๖ ปี เรียกว่า อาร์ทะ กุมภะ (Ardha Kumbh)
๓. ทุกๆ ๑๒ ปี เรียกว่า กุมภะ เมลา (Kumbh Mela)

โดยจัดทำขึ้น ๔ ที่คือ
๑. เมืองหริดวาร์ รัฐอุตตรัลจัล (Uttaranchal) หรือ อุตตรขัณฑ์
๒. เมืองปรยาค เมืองอัลลาฮาบาด รัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh)
๓. เมืองนาสิก แม่น้ำศิประ รัฐมหาราษฎร์ (Maharashata)
๔. เมืองอุชเชนี


โกสัมพี
มหานครโกสัมพี เมือง.....ราชินีอมตะ
เมือง.....กงกรรมกงเกวียน เวียนชำระ เมือง.....คหบดีเศรษฐีใจงาม
เมือง.....พระเจ้าอุเทนจอมกษัตริย์ เมือง.....เทวทัตต์วัตรวิปริตจิตหยาบ-หยาม
เมือง.....อนุมานทหารกล้าสีดา - ราม เมือง.....พลิ้วงามคลื่นนทียมุนา
เมือง.....จุฬาตรีคูณแหล่งบุญใหญ่ เมือง ......จอมไตรประกาศศาสนา
เมือง.....ชุมนุมมหากุมภเมลา เมือง.......ศิลาอโศกแกร่งลายแทงธรรม
เมือง.....อภิเษกอักบาร์มหาราช เมือง.......อัลละห้าบาท ทุกอย่างช่างน่าขำ
เมือง.....ชำระเคราะห์เข็ญล้างเวรกรรม เมือง......ผู้นำศรียวหลาลเนห์รู ฯ
ที่มา...คู่มือพระธรรมวิทยากร







โพธิสิกขาลัย (Bodhisikkhalai)
โทร 0-3587-3065, 085-7777-184 แฟกซ์ 0-3587-3058
Line ID: 0857777184
เว็บไซต์ : www.bodhisikkhalai.com
อีเมล: bodhisikkhalai@gmail.com


Copyright © 2011 All Rights Reserved